มาว่ากันถึงงานเพลง ปี 2010 ที่ผ่านมา น้อง Greyson ปล่อยซิงเกิ้ล Waiting Outside The Line และล่าสุด Unfriend You ที่กระแสกำลังเข้าท่า ก่อนที่จะส่งอัลบั้มเปิดตัว Hold On 'Til The Night ที่จะวางขายอย่างเป็นทางการ 2 สิงหาคม 2011. ภายใต้สังกัด Elelveneleven (ของ Ellen) / Maverick / Geffens Records
ถ้าจะถามถึงอัลบั้มที่มาแรงที่สุดของครึ่งปีแรก คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า อัลบั้ม 21 ของสาวอวบหน้าสวย นักร้อง-นักแต่งเพลง Adele คืออัลบั้มที่ว่า ด้วยกระแสความแรงแบบปากต่อปากทำให้ตอนนี้ อัลบั้ม 21 ขึ้นแท่นเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดของปี 2011 ทั้งฝั่งอังกฤษ และข้ามมาขึ้นอันดับ 1 ใน อเมริกา เกาะติดกระแสความแรงขอ Rolling In The Deep ที่สามารถทำให้ศิลปินจากเกาะอังกฤษวัย 23 คนนี้ เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
Adele มีชื่อเต็มๆ ว่า Adele Laurie Blue Adkins นักร้อง-นักแต่งเพลง ที่ถ้าย้อนกลับไปไม่ถึง 2 ปีก่อน ยังจำได้ว่า อัลบั้มแรกที่แจ้งเกิดโด่งดังไปทั่วโลกปี 2008 กับอัลบั้มที่ชื่อว่า 19 นั้น มีสังกัดเล็กๆ ในบ้านเราเป็นผู้จัดจำหน่าย และสามารถคว้ารางวัล Grammy Awards สาขา Best New Artist และ Best Female Pop Vocal Performance จากซิงเกิ้ลเปิดตัว Chasing Pavements และซิงเกิ้ลสุดจะไพเราะฟังแล้วเคลิ้มอย่าบอกใครกลายเป็นเพลงโปรดของใครๆ อีกหลายคนกับ "Make You Feel My Love" …นับเป็นอีก 1 ศิลปินที่แจ้งเกิดด้วยตัวเองจากการโพสต์เพลงลงใน My Space จนได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้ม
มาถึงการกลับมาที่ยิ่งใหญ่เกาะติดกระแสปากต่อปากครั้งนี้ อัลบั้ม 21 ได้โปรดิวเซอร์เก่งๆ มาร่วมงานมากมาย ไม่ว่าจะ Paul Epworth ที่ทำเพลงให้กับ (Cee Lo Green, Florence and the Machine), Ryan Tedder (Beyonce’, Leona Lewis), Rick Rubin (Linkin Park, Josh Groban) หรือ Eg White (James Blunt, Duffy) งานเพลงที่มาจากเรื่องราวที่ Adele เขียนไว้เมื่อตอนอายุ 21 ด้วยเนื้อหาที่ถ่ายทอดถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากการจบความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม ซิงเกิ้ลแรก Rolling In The Deep (UK#2 / US#1) กลายเป็นเพลงที่สามารถข้ามฝั่งทะลุมาถึงชาร์ตบิลบอร์ดในอเมริกา อีกทั้งซิงเกิ้ลที่ 2 อย่าง Someone Like You (UK#1) ก็ครองอันดับ 1 ในอังกฤษได้นานถึง 4 สัปดาห์ ที่สำคัญอัลบั้มชุดนี้ สามารถทำลายสถิติเป็นอัลบั้มของศิลปินหญิงที่ครองอันดับ 1 ในประเทศอังกฤษนานถึง 11 สัปดาห์ รวมถึงยอดขายที่มากกว่า 1.7 ล้านก็อปปี้ใน U.S. อันดับ #1 บิลบอร์ดอัลบั้ม 9 สัปดาห์แบบไม่ติดต่อกัน
ถ้าจะบอกว่านอกจากกระแสของศิลปินนี่มาแรงที่สุดของปีนี้บวกกับงานเพลงคุณภาพที่แน่นคับอัลบั้มขนาดนี้ ถ้าฝ่ายชายคือ Bruno Mars ฝ่ายหญิงคงไม่มีใครแรงเกินหน้า Adele
ออกมาให้แฟนๆ บัมเบิ้ลบีและสาวก LP ได้ตามเก็บเป็นชุดที่ 3 แล้ว สำหรับ อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ภาคต่อระดับบล็อกบัสเตอร์ที่คอหนังทั่วโลกรอคอยมากที่สุดในปีนี้ Transformers: Dark Of The Moon หรือ Transformers 3 การกลับมาของกองทัพหุ่นยนต์จากต่างดาว หลังจากการต่อสู้จากภาคที่แล้ว Revenge Of the Fallen
มาในภาคนี้เราจะได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ภายใต้ปฏิบัติการทางอวกาศที่อเมริกาและรัสเซียได้แข่งขันกันอย่างเป็นเอาตายมาตลอด มีความลับดำมืดบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหล่า Transformers ทั้งหลาย และถึงเวลาที่ Sam Witwicky (Shia LeBeouf) และหุ่นยนต์ผู้นำอย่าง Optimus Prime ต้องออกช่วยโลกอีกครั้ง โดยในภาคนี้ ยังคงได้ผู้กำกับฝีมือเยี่ยม Michael Bay มาทำหน้าที่ผู้กำกับต่อเป็นครั้งที่ 3
ในส่วนของเพลงประกอบภาพยนตร์ ยังคงความมันส์ด้วยการนำทีมของวงร็อคอันดับ 1 อย่าง Linkin Park ที่ส่งเพลงเปิดตัวสำหรับภาคนี้ Iridescent ออกมาเรียกน้ำย่อยให้แฟนๆได้สัมผัสถึงความมันส์และคุ้มค่าที่จะได้รับจากภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ซึ่งนับว่านี่เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันที่ Transformers ได้เลือกให้ Linkin Park มาทำเป็นเพลงประกอบหลักของภาพยนตร์ นับจาก What I’ve Done ใน Transformers ภาคแรก และ New Divide ในภาคที่ 2
นอกจากนี้ ยังมีเพลงใหม่ๆจากศิลปินวงร็อคอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Paramore, My Chemical Romance, Goo Goo Dolls, Taking Back Sunday, Staind
หากนับรวมอัลบั้มแสดงสดตั้งแต่ก่อตั้งวงกันมาในปี 1990 Awesome As Fuck ถือเป็น ไลฟ์ อัลบั้ม ชุดที่ 5 ของวง Green Day สุดยอดวง เมนสตรีม พั้งค์/ร็อค ระดับแถวหน้าของวงการวงนี้แล้ว ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะพบว่า 3 ร็อคเกอร์หนุ่มหัวใจพั้งค์ของวงดนตรีวงนี้มีพัฒนาการในการแสดงคอนเสิร์ตอย่างชัดเจน กล่าวคือในช่วงเริ่มต้น Foot in Mount อัลบั้มบันทึกการแสดงสดของวงในช่วงโปรโมทอัลบั้ม Dookie และ Insomniac เต็มไปด้วยลูกบ้าและความห่ามแบบไม่บันยะบันยัง แต่พอมาถึง ไลฟ์ อัลบั้ม ชุดล่าสุดนี้ พวกเค้ามีการรูปแบบการแสดงคอนเสิร์ตที่เป็นแบบแผน มีการเรียงลำดับเพลงที่ค่อยไล่ระดับความมันได้อย่างเป็นขั้นตอน และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ Green Day เป็นวงร็อคที่เล่นสดได้มันมากและเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์อย่างแท้จริง
งานเพลงชุดนี้บันทึกภาพการทัวร์คอนเสิร์ต 21st Century Breakdown World Tour ในระหว่างปี 2009-2010 โดยภาพการแสดงทั้งหมดนำมาจากทัวร์คอนเสิร์ตที่อังกฤษ, อเมริกา, ออสเตรีย, สก็อตแลนด์, ไอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, เยอรมนี โดยมี ญี่ปุ่น เป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ Green Day เลือกนำโชว์มาใส่ไว้อัลบั้มชุดนี้ ส่วนเพลงฮิตที่ถูกเลือกนำมาใส่ในอัลบั้มก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงฮิตรวมถึงเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง “Cigarettes and Valentines” ด้วย ส่วนแผ่นดีวีดีอีกหนึ่งแผ่นที่แถมมาเป็นบันทึกภาพการแสดงสดที่ Saitama Super Arena ที่ ญี่ปุ่น ส่วนจะมันแค่ไหน คำพูดใดๆก็บอกไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยตาตัวเองเท่านั้น!
เธอคือสาวซ่าส์ เปรี้ยว เก๋ คาแรคเตอร์จัดจ้านเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนใคร แต่หน้าชีเหมือน Kelly Clarkson นะว่าไหม เอหรือเหมือน Lilly Allen ตอนน้ำหนักขึ้นดี ...? ชั่วโมงนี้ ถ้าคุณคือคอเพลงอิงไปทางฝั่งอังกฤษ รับรองว่าไม่มีใครไม่รู้จัก Jessie J แน่นอน กับอัลบั้มเปิดตัวที่คนทั้งโลกรอคอย Who You Are พร้อมซิงเกิ้ลฮิตที่ฟังครั้งแรกก็ติดหู ไม่ว่าจะ “Do It Like A Dude” หรือ “Price Tag” เพลงจังหวะโดนๆ ที่ได้แร็พเปอร์สุดฮ็อตของชั่วโมงนี้อย่าง B.O.B มาร่วม feat. ที่แน่ๆ คือซาวนด์ดนตรีสุดเดิร์นที่ไม่ควรพลาด!!
ด้วยเครดิตเฮียหยอยดันอย่าง Justin Timberlake ยกให้เธอคนนี้นี่หล่ะ ศิลปินที่เด็ดสะระตี่ที่สุดของโลกนะตอนนี้ เธออาจจะเล่นเปียโน ทำตัวเหมือนมาจากนอกโลกอย่างใครบางคนไม่เป็น แต่เรื่องเขียนเพลงล่ะก็ ถ้าไม่เจ๋งจริง คงไม่ได้ฉายเดี่ยวในอัลบั้มที่ออกกับสังกัด Lava/Universal Republic อัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อว่า WHO YOU ARE แน่ล่ะย้อนไป 2-3 ปีก่อนหน้านี้ Jessie J สาวที่ยังโนเนม ใช้ชื่อจริงเป็นเครดิตแต่งเพลงให้กับ Chris Brown , Lisa Lois (X Factor) รวมถึงเพลงฮิตของนังหนู Miley Cyrus "Party in the USA"
ศิลปินฮิพฮอพใต้ดินที่ขึ้นมาได้ดิบได้ดีบนดินกับซิงเกิ้ล “Black And Yellow” กับเค้าอีกคน Wiz Khalifa ไม่ใช่ย่อยเลยครับ ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยกับซิงเกิ้ล “Say Yeah” ที่มีกลิ่นอายของยูโรแด๊นซ์แบบเต็มกลิ่น โดยซิงเกิ้ลนี้ได้ขึ้นชาร์ต Rhythmic Top 40 และ Hot Rap Tracks ในปี 2008 กับเขาด้วย ภายใต้สังกัด Warner Bro Records ที่เซ็นสัญญาในปี 2007 หลังจากที่มีงานชุดแรกออกมา
งาน 2 ชุดที่ผ่านมาได้แก่ Show And Prove (2006) และ Deal Or No Deal (2009) ที่ออกกับวอร์เนอร์นั้น นับว่ายังดังไม่พอกับหนุ่มคนนี้ แต่พอมิกซ์เทป Kush And Orange ออกมาให้ดาวน์โหลดฟังกันฟรีๆ ถูกปล่อยออกมา ทำให้ Wiz Khalifa กลายเป็นเทรนด์ใน Twitter และ Google ในปี 2010 แน่นอนว่ากระแสระดับนี้ทำให้ได้ย้ายไปซบกับ Atlantic Records ปล่อยซิงเกิ้ลเด็ด Black And Yellow ออกมาในช่วงปลายปี คิดเอาครับว่าขึ้นชาร์ตเพลงแร็พอันดับ 3 และ Billboard Top 100 อันดับ 6 เรียกได้ว่าแรงกันจนหยุดไม่อยู่เลยทีเดียว แถม MTV ยังได้ประกาศให้แร็พเปอร์หน้าใหม่คนนี้ขึ้นเป็น The Hottest Breakthrough MC แห่งปี 2010 จากคะแนนโหวตเกือบ 7 หมื่นเสียง โดยเอาชนะศิลปินดังคนอื่นๆอย่าง Nicki Minaj, J. Cole, Travis Porter, และ Diggy Simmons ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อัลบั้มมิกซ์เทป Prince of The City ปี 2006 จุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้เริ่มงานในชุด Show And Prove ในปีเดียวกัน ทำให้นิตยสาร Rolling Stone ได้จัดให้ Wiz Khalifa อยู่ในหมวดหมู่ Artist To Watch หรือภาษาบ้านเราง่ายๆ ก็คือ ศิลปินที่น่าจับตามองนั่นเอง ศิลปินดังๆ หลายคนที่ได้ร่วมงานด้วยก็มี The Game, Snoop Dogg, T-Pain และ Play-n-Skillz แต่ที่เจ๋งสุดๆเห็นจะเป็นการออกทัวร์ในงานต่างๆ นอกจากจะได้เล่นเปิดให้กับวงฮิพฮอพระดับโคตรตำนานอย่าง Wu Tang Clan แล้ว ยังได้เล่นบนเวทีดังๆ อย่างงาน Soundset 2010 Festiva และ 2010 Rock The Bell ซึ่งงานตัวหลังนี่แหละ อุดมไปด้วยศิลปินฮิพฮอพระดับตำนานอย่าง Wu-Tang Clan, Snoop Dogg, Lauryn Hill, A Tribe Called Quest, Rakim, KRS-One, Jedi Mind Tricks และ Slick Rick
ครั้งแรกที่ได้เห็นเอ็มวีเพลง Black And Yellow ผมอดไม่ได้ที่จะนำ Khalifa ไปเปรียบเทียบกับ Kid Cudi ด้วยลุคแบบสตรีทที่คล้ายกัน ลูปเพลงและเสียงสังเคราะห์ รวมไปถึงสัดส่วนของเพลงที่คล้ายกันมาก แต่ก็ยังแยกออกได้อยู่ดี ด้วยเนื้อหาเพลงของ Khalifa นั้น จะออกแนวปาร์ตี้ เที่ยว เกี่ยวสาว มากกว่าเมื่อเทียบกับ Cudi ที่เนื้อหาของเพลงชวนให้คิดตามและมองเห็นถึงความจริงในชีวิต และมุมมองของตัว Cudi เอง และถ้าตั้งใจฟังกันดีๆ จะรู้สึกว่าเพลงของ Khalifa นั้นกลิ่นอายของความเป็น Gangsta Rap จะสูงกว่า Cudi หลายเท่าตัว ด้วยความที่ Khalifa นั้นได้รับอิทธิพลจากดนตรีเต้นรำ ทำให้ลูปและเพลงของเขานั้นค่อนข้างหวือหวา และเต็มไปด้วยเสียงสังเคราะห์แบบ Trance, house และ Eurodance ถ้าลองฟังซิงเกิ้ล Black and Yellow แล้วชอบใจ ก็ตั้งตารอได้เลยกับเดบิวท์ชุดแรกที่ออกกับ Atlantic Records ภายในปีนี้แน่นอน
Recent Comments