หายไปสามปีกลับมาอีกครั้งกับสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ที่ Mike Shinoda เคยให้สัมภาษณ์ว่า เดิมอัลบั้มชุดนี้วางกำหนดปล่อยต้นปี 2010 แต่ด้วยความต้องการให้งานได้คุณภาพอย่างที่ต้องการจริงๆ อย่างที่เขาบอกว่า
…“ถ้าเราต้องถอยหลังเพื่อดูว่าทุกอย่างดีที่สุดอย่างที่ต้องการตามมาตรฐานของเรา เราก็จะทำ”…
The Catalyst ซิงเกิ้ลแรกจาก A Thousand Suns พอจะบอกถึงแนวทางใหม่ในงานชุดนี้ที่มือกลอง Rob บอกว่า ...“เราตั้งใจจะทำงานให้สมบูรณ์แบบที่สุด และนั่นคือการทำงานของเรา”…
มองการพัฒนาของตัวเองยังไงในงานชุด A Thousand Suns
LP : ถามตอบยากเลย (หัวเราะ) ผมว่ามันอยู่ที่กระบวนการกับไอเดียที่มันเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เราพยายามจะไม่ทำอะไรซ้ำ
เราพยายามที่จะสร้างความตื่นตัวในกระบวนการทำงานในสตูดิโอ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเราได้ผลลัพธ์ที่ต่างๆ กันออกไป
ถือว่าเป็นพัฒนาการตามปกติไหมจากอัลบั้ม Minute to Midnight
LP : ผมว่า Minute to Midnight คือโอกาสดีที่เราได้ทำเพลงที่เราคิดว่าเป็นซาวนด์แบบ Linkin Park ที่สุด เรา
ถอดสิ่งที่เคยทำๆ ออกไป แล้วทำในสิ่งที่อยู่ในหัวเราออกมาแบบที่เราคิดว่าเป็นซาวนด์แบบที่ควรจะเป็น
อัลบั้มของ Linkin Park ซึ่งมันทำให้เราหกคนรู้สึกตื่นเต้นกับมัน มันเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ของดนตรีและใน
แง่ของการสร้างสรรค์ ตอนนั้น ไมค์ก็กำลังทำโปรเจ็คท์ของ Fort Minor เขาบอกว่าเขาเหมือนหมดพลัง
ความคิดไปกับงานชุดนั้น ที่ไม่ได้ใช้ในงานชุดนี้ ถึงตรงนี้เรารู้สึกว่า ถ้าเราชอบอะไรมันก็ใส่ในงานชุดนี้ได้ ไม่ว่า
จะเป็นอะไรก็ตาม คือมันไม่ต้องไปทำตามตำราเป๊ะ
ในฐานะวงดนตรีที่มีบุคคลิกที่มีเอกลักษณ์และมีสไตล์ที่หลากหลาย แต่มันก็รวมกันเป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน
LP : จากชุด Hybrid Theory เราตั้งเป้าว่าจะผสมผสานซาวนด์ที่แตกต่างกันในแบบที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน ตอนนี้ก็คือกระบวนการเหล่านั้นมันดำเนินต่อไป แต่อิทธิพลทางดนตรีที่เราได้รับมันมากขึ้น กว้างขึ้น พวกเราหกคนต่างฟังเพลงแตกต่างกัน รับมาจากที่ต่างๆ กัน และมาขบคิดกันว่าจะทำยังไงให้มันรวมเข้าด้วยกันได้ ซึ่งมันเป็นสปิริตในการทำงานที่ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน
เพราะงั้นเพลงอย่าง The Catalyst ก็เลยต่างไปจากเพลงที่เคยทำๆ มา
LP : ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ (หัวเราะ) ผมไม่ชอบคำว่า”แนว” เมื่อพูดถึงเพลงของเรา คือผมเองเป็นคนจัดประเภทอะไรไม่ได้ดีเท่าไหร่ คืออย่างแรกเลยเรารู้สึกว่าบางทีเพลงของเราอาจจะไม่ได้เป็นเพลงที่ถูกจัดประเภทไว้แบบนั้น มันคงดีกว่าถ้าระบุว่านี่เป็นเพลงแบบ Linkin Park ไม่จำเป็นต้องจำกัดประเภท
แต่เพลง The Catalyst ก็เป็นแบบนั้น คือมีส่วนผสมที่หลากหลายสไตล์ของ Linkin Park ด้วย มันมาได้ยังไง แล้วมันหมายถึงอะไรในความคิดของคุณ
LP : ตอนนั้นเรากำลังเลือกกันว่าจะเอาแทร็คไหนในสตูดิโอ แล้ว The Catalyst ก็เป็นเพลงที่ในขณะที่เราทำอยู่นั้น เรารู้สึกว่าเป็นส่วนสำคัญของอัลบั้มนี้ ซึ่งคุณจะได้ยินเนื้อเพลงว่า A thousand suns อยู่หลายครั้ง คือเราชอบไอเดียตรงนี้และในแง่ของภาพที่มันสะท้อนอยู่ลึกๆ ซึ่งในที่สุด A Thousand Suns ก็กลายเป็นชื่ออัลบั้ม ในเพลง Catalyst มันจะมีธีมต่างๆ กันอย่างละนิดอย่างละหน่อยที่คนฟังจะรู้สึกได้ถึงเพลงในอัลบั้มทั้งหมด ซึ่งเป็นอย่างหนึ่งที่ต่างออกไปในการทำงานของเรา ความตั้งใจก็คือทำเพลง ความยาว 45 นาทีที่ให้ความรู้สึกแบบโลกสามมิติ ซึ่งสิ่งที่คนฟัง Catalyst จะสัมผัสได้หลังจากได้ฟังมันทั้งหมด มันจะเป็นเหมือนบทสนทนาทั้งหมดต่อจาก catalyst อัลบั้มนี้ตั้งใจให้ออกมามีลักษณะเหมือนออกมาในยุค 70ห หรือ 80s แต่ไม่ใช่แบบย้อนยุคอะไรแบบนั้น แต่ว่าเป็นแนวคิดในลักษณะของซาวนด์ดนตรีทั้งอัลบั้ม
เหมือนว่าภาคดนตรีกับเนื้อร้องจะเข้ากันมากกว่าเดิมด้วยหรือเปล่า
LP : งานชุดนี้เชสเตอร์กับไมค์เน้นเรื่องเนื้อเพลงกับดนตรีมากกว่าชุดที่ผ่านๆ มา ถ้าฟังไปจะได้ยินถึงชั้นของระดับเสียงร้องในอัลบั้มนี้ คือมีส่วนที่ไมค์ร้อง แล้วก็มีส่วนที่คุณแยกไม่ออกว่าใครร้อง ซึ่งมันเป็นสัดส่วนของการประสานกันระหว่างจังหวะและเนื้อร้อง
อย่าง The Catalyst นี่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่นุ่มแต่ลุ่มลึกในเวลาเดียวกันอย่างนั้นใช่ไหม
LP : สำหรับเราแล้วมันเป็นซิงเกิ้ลแรกจริงๆ ! เราไม่อยากทำอะไรแบบที่เราถนัด คือเมื่อถึงตอนที่เราต้องเลือกเพลงมาเป้นซิงเกิ้ลแรก เราอยากได้เพลงที่บอกถึงความเป็นไป ในอัลบั้มชุดนี้ ซึ่ง Catalyst บอกถึงทิศทางของอัลบั้มชุดนี้จริงๆ
LINKIN PARK อัลบั้ม A Thousand Suns วางแผงแล้ววันนี้
Comments