Katy Perry
หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับซิงเกิ้ล “ California Gurls” ขึ้นอันดับ 1 ทุกชาร์ตคลื่นเพลงสากล สาวเปรี้ยวหวาน ซ่าส์ เจ้าแม่แฟชั่นสุดชิคอย่าง Katy Perry ก็ทุบสถิติต่อเนื่องกับซิงเกิ้ลที่สอง “Teenage Dream”จากอัลบั้ม Teenage Dream ซึ่งพึ่งวางขาย โดยเพลงนี้ได้โปรดิวเซอรือย่าง Max Martin, Dr. Luke, และ Benny Blanco มาทำเพลงให้ และล่าสุดนี้ก็อันดับ 1 US. Billboard Hot 100 และ 2 UK. Chart ไปเรียบร้อย
Track by Track ........มาฟังเจ้าตัวบอกเล่าถึงแต่ละเพลงในอัลบั้มชุดนี้กัน
ขอบคุณ Warner Music Thailand
Teenage Dream
ฉันเขียน “Teenage Dream” ที่เมือง ซานตา บาร์บาร่า ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฉัน และฉันก็ไปที่นั่นพร้อมกับทีมโปรดิวเซอร์ที่ฉันเคยทำงานด้วยในอัลบั้มแรก Max Martin และ Dr. Luke และฉัน พวกเราอยู่ที่นั่น 10 วัน เราเขียน “Teenage Dream” และเพลงอื่นๆอีก 2-3 เพลง มันน่าตื่นเต้นมากที่เขียนเพลงนี้เสร็จได้ เพราะจริงๆแล้วเราเขียนเพลงนี้ออกมาถึง 4-5 เวอร์ชั่น เราเขียนท่อนคอรัสของเพลงใหม่ จนกระทั่งรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบที่สุดเราอยากให้เพลงนี้ทำให้คุณเคลื่อนไหวและรู้สึกปลดปล่อย อยากเต้นและรู้สึกอิ่มเอมที่มีความรักในแบบวัยรุ่นอีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็ได้เพลงนี้ออกมา หลังจากพยายามมาแล้วถึง 5 ครั้ง
เพลงนี้เป็นเพลงที่หวานมากๆ มันเป็นได้ทั้งเพลงในแนวร็อค และก็มีจังหวะของเพลงแดนซ์เปรี้ยวๆตามสไตล์ Chaka Khan อยู่นิดหน่อย ฉันตั้งชื่อเพลงอย่างนี้ เพราะเมื่อคุณโตเป็นผู้ใหญ่ การตกหลุมรักเป็นครั้งแรก เป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก คุณจะไม่สามารถรู้สึกแบบนั้นได้อีกครั้งแล้วในชีวิต และสำหรับชั้นในตอนนี้ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่ชั้นมีความฝัน ความรักแบบวัยรุ่นตอนนั้น และฉันอยากให้ทุกคนคิดถึงฉันเหมือนเป็นโปสเตอร์ในห้องของพวกเขาและหวังว่าฉันจะสามารถเข้าไปในความฝันของพวกเขา และเป็น “Teenage Dream” ของพวกเขาด้วย...นี่คือสิ่งที่เพลงนี้พูดถึงและมันก็เป็นเพลงที่สนุกมากมันมีทั้งความหวานอยู่ในเพลงและก็มีสิ่งที่ฉันเรียกว่าความแสบซ่าส์ สำหรับฉันมันเป็นอะไรที่ยั่วน้ำลายมาก “Teenage Dream” เป็นหนึ่งในเพลงจังหวะกลางๆที่มีเนื้อหาที่ดีเยี่ยม และมันทำให้คุณรู้สึกเหมือนตกหลุมรักอยู่เรื่อยๆ
California Gurls
ตอนที่ฉันได้ไอเดียของเพลง “California Gurls” เป็นเพราะว่าคืนก่อนหน้านั้น ฉันเห็นเพื่อนๆของฉันยกแว่นขึ้นในงานปาร์ตี้ เพื่อร้องเพลง “Empire State Of Mind”ซึ่งเป็นเพลงที่ดีมากสำหรับนิวยอร์ค และฉันก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาแว่บหนึ่ง ฉันรู้สึกว่า The Beach Boys ศิลปินที่ฉันรักมาก และ Tupac เจ้าของเพลงต้นฉบับของแคลิฟอร์เนีย อย่าง “California Love” พวกเขาจะต้องเกลียดที่มีแต่เพลง “Empire State of Mind” ดังทั่วไปหมด นิวยอร์คได้รับการนำเสนอ แคลิฟอร์เนียก็ควรได้ด้วย ฉันรู้สึกว่านี่เป็นการนำเสนอที่ดีเกี่ยวกับตัวฉันรวมทั้งเป็นเพลงประจำซัมเมอร์ที่สนุกสนานมากจากมุมมองของผู้หญิง เพราะยังไม่เคยมีเพลงจากมุมมองของผู้หญิงเกี่ยวกับแคลิฟอร์เนียมาก่อนเลย ฉันอยากใส่ความเป็น Snoop Dogg เข้าไปนิดๆหน่อยๆ อย่างท่อน “Sippin’ Gin and Juice” ในท่อน verse และอะไรประเภท “Snoop Doggy Dogg on the stereo” เพื่อหวังว่าเขาจะมาร่วมแจมในเพลง และมันก็ได้ผลจริงๆ มันเป็นเพลงประเภทที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนาน และฉันเขียนเพลงนี้ น่าจะเป็นตอนที่ทำอัลบั้มไปได้ประมาณครึ่งทางแล้ว มันน่าจะเป็นเพลงสุดท้ายที่ฉันเขียนร่วมกับ Max Martin, Dr.Luke และเพื่อนๆอีก 2 คน Bonnie McKee และ Benny Blanco ตอนที่เขียนเพลง “California Gurls” เสร็จลง ฉันรู้สึกแบบว่า “เอาล่ะ ฉันรู้แล้วว่านี่น่าจะเป็นเพลงแรกที่ฉันสามารถปล่อยได้” มันเหมือนกับการขับรถไปชายหาดด้วยความรู้สึกสดชื่นสนุกสนาน หรืออย่างน้อยตอนกำลังท่องเว็บเพื่อดูรูปถ่ายของชายหาดก็ยังดี ไม่ว่าจะทางไหน ฉันหวังว่าเมื่อคุณได้ยินเพลงนี้ คุณจะอยากจองตั๋วไปแคลิฟอร์เนีย
Firework
ในรายชื่อของหนังสือที่ต้องอ่านในฤดูร้อนปีนี้ของฉัน มีหนังสือที่ชื่อ On The Road โดย Jack Kerouac
ฉันได้รับคำแนะนำจากแฟนของฉันซึ่งเป็นแฟนตัวยงของนักเขียนคนนี้ เขาเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นยังไง ในนั้นมีประโยคหนึ่งที่มีเนื้อหาประมาณว่า “ฉันอยากอยู่รอบๆคนที่ซู๋ซ่าและหวือหวา และไม่เคยพูดอะไรธรรมดาๆ คนพวกนี้เหมือนกับดอกไม้ไฟพวกเขาระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าและทำให้ทุกๆคนที่เห็นต้องอุทานด้วยความทึ่ง” ตอนที่ฉันได้ฟังฉันรู้สึกว่านั่นคือคนในแบบที่ฉันเป็น คนแบบที่ฉันอยากจะเป็น และคนแบบที่ฉันอยากให้อยู่รอบๆตัวฉัน คนประเภทดอกไม้ไฟ คนที่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าเกินร้อย และฉันก็เริ่มเขียนเพลง “Firework” โดยมีเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจ ฉันรู้ว่าทุกคนสามารถเป็นดอกไม้ไฟได้ อยู่ที่ว่าคุณจะสามารถจุดประกายในตัวเอง และทำให้ผู้คนต้องร้อง “อา......า” ในทุกๆช่วงของชีวิตคุณ ด้วยจุดมุ่งหมายในทุกๆก้าว
ฉันภูมิใจกับเพลงนี้มาก เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงโปรดที่สุดของฉันในอัลบั้มนี้ แน่นอว่ามีอีกหลายเพลงที่มีความหมายต่างๆสำหรับฉัน แต่เพลงนี้คือสิ่งที่ฉันอยากจะสื่อสารออกไปมากที่สุดในอัลบั้มนี้ มันเป็นเหมือนบทประพันธ์ชิ้นเล็กๆของฉัน ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ
Peacock
“Peacock” เป็นเพลงแนวสนุกสนาน มันเป็นหนึ่งในเพลงประเภทที่มีการเสียดสีอย่างโจ่งแจ้งในนั้น
มันเป็นเพลงที่น่ารักจริงๆ และฉันก็รักเพลงที่เป็นประเภทเพลงเชียร์ลีดเดอร์อะไรทำนองนั้น ถ้าคุณสามารถทำเพลงที่มีสไตล์ของเพลงเชียร์ลีดเดอร์ในเพลงได้ มันจะเป็นเพลงที่ติดหู และ “Peacock” ก็เป็นเพลงที่สนุกสนานและมีอารมณ์ขันที่ดีมากๆอยู่ในนั้น ฉันรักแนวคิดของเพลงและมันตลกมากเพราะมันมีการเปรียบเทียบด้วยเหตุผลที่ชัดเจน ตอนที่ฉันไปอินเดีย ฉันเห็นนกยูงเป็นพันๆตัว และเมื่อคุณเห็นนกยูง มันเป็นภาพที่ค่อนข้างหาดูได้ยาก โดยเฉพาะเวลาที่คุณเห็นนกยูงรำแพนหางแบบเต็มๆ ยิ่งเป็นสิ่งที่แปลกเข้าไปใหญ่ ดังนั้น ฉันก็เลยหยิบเอาไอเดียตรงนี้มา เพิ่มการหักมุมเล็กๆน้อยๆลงไป และทำให้มันเป็นแนวของฉันเอง ความหมายของมันก็ขึ้นกับการตีความของแต่ละคน อาจจะแย่ตรงที่บางคนจะร้องเพลงนี้ โดยที่ไม่รู้ความหมายที่แท้จริง แต่ฉันว่ามันก็น่าสนุกดีนะ คุณสามารถที่จะคิดท่าเต้นในแบบของคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง และฉันคิดว่า สำหรับเพลง “Peacock” แล้ว บางทีถ้าให้ฉันเลือกเพลงสนุกๆ หรือเพลงอุ่นเครื่องจากอัลบั้มนี้ มันคงต้องเป็นเพลงนี้แหละคุณกล้าพอไหมที่จะให้ฉันดู “นกยูง” ของคุณ?
Circle The Drain
ฉันเขียนเพลง “Circle The Drain” ตอนที่ฉันอยู่ในแอตแลนตา พร้อมกับโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ Tricky Stewart
เหมือนที่ฉันได้บอกไปแล้วตอนต้น บางครั้งสำหรับฉัน การเขียนเพลงเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง มันเหมือนกับว่า ถ้าฉันไม่เอาอะไรหนักๆที่มันจุกอกอยู่ออกไป มันอาจจะทำลายฉันเสียเอง ดังนั้นในอัลบั้มนี้เลยมีบางเพลงที่ฉันอยากจะระบายออกมา และ “Circle The Drain” ก็คือ เพลงเหล่านั้น มันคือเพลงที่พูดถึง เวลาคุณเผชิญกับสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ คุณไม่สามารถเปลี่ยนใคร และเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนจนกว่าพวกเขาอยากจะเปลี่ยนเอง มันคือการไม่รอให้ตัวเองต้องจมดิ่งลงไปกับเรื่องนั้นๆ การเป็นคนมีอิสระเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับฉัน และฉันคิดว่านี่คือเพลงที่หนักที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ มันคือช่วงเวลาแบบ Alanis Morisette ของฉัน ฉันคิดว่าหลายคนน่าจะชื่นชอบดนตรีแนวร็อค มันค่อนข้างจะล่อแหลมเพราะมีคำว่า “F…” อยู่ในเพลงนี้ แต่มันก็สมควรที่จะพูดว่า “F…” ในเวลาที่ฉันต้องการพูดมัน “Circle The Drain” คือ เพลงที่คุณอยากออกไปมันส์อย่างแน่นอนคือเพลงที่คุณจะชูมือขึ้น และร้องตามอย่างสุดพลังปอด
E.T. (Extra Terrestrial)
ฉันได้แนวคิดที่จะเขียนเพลงนี้ ซึ่งเกี่ยวกับหนุ่มคนหนึ่ง ที่จริงๆแล้วเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตนอกโลกฉันคิดว่าคุณจะเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวก็คงไม่ผิด มันเป็นเรื่องที่น่าสนุกมาก เพราะฉันคิดมาตลอดว่าจะมีอะไรอยู่ในอวกาศบ้าง ฉันอยากรู้ว่าจะมีอะไรอยู่ที่นั่น จะมีสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่นๆอยู่ไหม ถ้าเกิดมีดาวที่เต็มไปด้วยหนุ่มหล่อซึ่งเราไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่ล่ะ แล้วถ้าบางทีพวกเขาจะมาเยี่ยมเยียนพวกเรา อาจจะออกมาเที่ยวแล้วก็บางทีฉันอาจจะได้เจอหนึ่งในนั้น “E.T” เป็นเพลงที่เกี่ยวกับการได้เจอหนุ่มคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้แน่นอน เพราะเขาเป็นซูเปอร์แฟน และมีพลังพิเศษอยู่กับตัวเอง มันเป็นเพลงสนุกๆ ฉันชอบคิดธีมหรือไอเดียขึ้นมาแล้วยึดตามไอเดียนั้นไว้ หลายๆเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเรื่องราว, ไอเดียหรือธีมคล้ายๆเพลงนี้ Extra Terrestrial เป็นการวาดภาพเอาไว้ เพื่อที่ทุกเพลงจะได้มีประเด็น มีเรื่องราว และก็มีภาพที่ชัดเจนมากๆ และเพลงนี้น่าจะเป็นอีกเพลงที่น่าสนุกเวลาไปทัวร์คอนเสิร์ต มันมีกลิ่นไอของ R’n’B มีพื้นฐานของดนตรี Hip Hop ในเพลง และก็มีพื้นฐานของดนตรีคลับสไตล์ยุโรปเช่นกัน เป็นเพลงที่สนุกมากตอนเขียน ฉันแค่คิดถึงมนุษย์ต่างดาวตอนที่เขียนเพลงนี้ มนุษย์ต่างดาวสุดฮ็อต ฉันไม่รู้หรอกว่ามันจะฟังดูน่าสนใจแค่ไหนสำหรับคนอื่น แต่มันเป็นช่วงที่สนุกมากๆเลยทีเดียว
Hummingbird Heartbeat
เป็นอีกครั้งที่ฉันอยู่ในซานต้า บาร์บาร่า ตอนที่ฉันได้ไอเดียเพลง “Hummingbird Heartbeat” ฉันกำลังทานอาหารเช้าและฉันก็เห็นนกฮัมมิ่งเบิร์ด และนกฮัมมิ่งเบิร์ดก็กำลังทานอาหารเช้าเหมือนกัน ฉันไม่รู้ว่าคุณรู้มั้ย ว่านกฮัมมิ่งเบิร์ดน่าจะโชคดี ฉันเริ่มคิดเรื่องนกฮัมมิ่งเบิร์ด หัวใจของมันเต้นเร็วแค่ไหน? กี่ครั้งต่อนาที? และฉันก็ใช้ไอเดียนั้นมาเป็นแนวคิดว่า บางคนทำให้คุณรู้สึกวูบวาบเหมือนหัวใจของคุณเต้นเร็วมากๆ และเพลง “Hummingbird Heartbeat” ก็น่าจะกลายเป็นเพลงที่ 2 หรือ 3 ที่ฉันเขียนขึ้นมาในอัลบั้มนี้ และมันก็เป็นจริงเมื่อตอนที่ฉันเจอแฟนของฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเร่าร้อนและแปลกใหม่ เราจะรู้เมื่อเราเจอใครซักคนที่พิเศษ มือของเราจะเริ่มมีเหงื่อออก บางทีเราจะเริ่มพูดตะกุกตะกัก เราจะเริ่มซุ่มซ่าม และหัวใจของเราจะเต้นผิดจังหวะ
นี่ก็คือทั้งหมดของเพลงนี้ มันก็เป็นเพลงรักอีกเพลงหนึ่ง และฉันหวังว่ามันจะเป็นเพลงรักสุดพิเศษสำหรับใครก็ตามที่ได้ฟัง
Recent Comments