สาวน้อยจาก U K . วัย 18 ดาวจรัสแสงกิ๊บเก๋ของปี 2009 2 ซิงเกิ้ลแรกติดต่อกันของเธอ เปิดตัวที่อันดับ 1 UK . นับเป็นสาวเมืองผู้ดีเปิดตัวอันดับ #1 ในชาร์ตบ้านเกิดของตัวเองเป็นคนแรกโดยไม่ได้มาจากเรียลลิตี้ทีวีที่ไหน เอาเป็นว่าแค่ชื่อก็เก๋ไก๋สไลเดอร์แล้วมั้ยล่ะ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลัง หนักแน่น ดึงดูด ไม่ต่างอะไรกับการสผมผสานความนุ่มลึกแบบผู้ใหญ่โซลดิว่า เข้ากับความมีชีวิตชีวาและหลักแหลมในแบบเจ้าหญิงเพลงป๊อป ทั้งหมดนี้แม้อาจจะฟังดูเป็นไปได้ยาก แต่ก็เกิดขึ้นแล้วกับศิลปินชื่อนี้ Pixie Lott
ก่อนที่เธอจะ 15 ซึ่งว่ากันว่าเป็นช่วงอายุที่เจ้าตัวนั้นให้คำจำกัดความตัวเองอย่างเป็นทางการว่า “แก่” เพราะแม่หนู Pixie มีลิสต์รายการเป้าหมายที่เธอต้องการแบบไม่หวือหวานัก ยาวเป็นหางว่าวทีเดียว การได้พบปะกับผู้คนที่น่าทึ่งนั่นก็อย่างหนึ่ง การได้ไปเปิดการแสดงในสถานที่น่าทึ่งนั่นก็อีกอย่างหนึ่ง เธออยากจะเก็บรักษาเพื่อนทุกคนที่มีอยู่ตอนนี้เอาไว้ แล้วก็อยากจะมีเพื่อนใหม่มากขึ้น แล้วก็ยังอยากจะเขียนเพลง อยากจะมีเพลงซัก 2 -3 เพลงที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตคนอื่นได้ด้วย และท้ายที่สุด เธออยากจะ ... ร้องเพลงตลอดไป ตลอดไป และ ตลอดไป…
ด้วยสไตล์ที่แปลกใหม่ น้ำเสียงชวนให้ประหลาดใจ ความสามารถในการเต้นที่ทำให้คนที่ได้เห็นต้องร้องออกมาด้วยความทึ่ง บวกกับพรสวรรค์ในการแต่งเพลงที่ทำเอาอดเคาะเท้าตามไปด้วยไม่ได้แทบทุกครั้ง Pixie ใช้เวลาช่วงปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เซ็นสัญญากับต้นสังกัด Mercury ดึงเอาความเป็นที่สุดของทุกคนที่เธอมีโอกาสได้ร่วมงานด้วยออกมาให้ได้มากที่สุด ทั้งบุคลิก เสียงร้องที่เข้มข้น รวมไปถึงเอกลักษณ์อันน่าดึงดูดใจ ถูกรวมเอาไว้ทั้งหมดในซิงเกิ้ลแรกที่ใช้ชื่อว่า ‘Mama Do’ (Uh Oh, Uh Oh) ด้วยส่วนผสมของน้ำเสียงละม้ายคล้าย Adele/Joss Stone/Duffy ตัวอย่างเรื่องเล่าของวัยรุ่นที่แอบหนีออกจากบ้านตอนกลางคืนเพื่อออกเดท เพลงนี้เขียนขึ้นโดยนักแต่งเพลงมือหนึ่งอย่าง Phil Thornalley และ Mads Hauge
18 เดือนกับการได้ร่วมงานกับยอดฝีมือกูรูป๊อป นับตั้งแต่ Thornalley, Cutfather และ Jeburg ( ที่เคยทำงานให้กับศิลปินมากมายตั้งแต่ Kylie จนถึง Pussycat Dolls), Red One ( ผู้สร้างผลงาน 'Just Dance' ให้กับ Lady Gaga ), Lily and Beck / Greg Kurstin, Toby Gad โปรดิวเซอร์ชาวนิวยอร์กคนแต่งเพลง 'If I Were A Boy' และ 'Big Girls Don't Cry', Kara DioGuardi ไปจนถึงคนแต่งเพลงระดับซูเปอร์สตาร์ผู้นั่งเก้าอี้ผู้ตัดสินคนใหม่ของเวที American Idol
จากเด็กสาวตัวเล็กๆในเมืองเค้นท์ ที่ตั้งชื่อเล่นให้กับตัวเองว่า Pixie ตั้งแต่เล็ก (ซึ่งคุณจะเรียกชื่อจริงของเธอได้ก็เฉพาะเวลาที่เธอเกเรมากๆ เท่านั้น) อีกทั้งยังทำให้แม่ต้องฟังเพลงของ Take That และ Diana Ross ตลอดเวลา ไม่นานนัก Pixie ก็เริ่มเลือกที่จะฟังเพลงตามศิลปินคนโปรดของเธอ โดยมี Mariah Carey เป็นผู้จุดประกายเริ่มแรก ที่โรงเรียนความสนใจในการร้องเพลงและเต้นรำนำพาเธอให้ไปสู่การออดิชั่นสำหรับ Italia Conti ก่อนจะก้าวเข้าสู่โรงเรียนสอนการแสดงที่จะช่วยทำความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องนักเต้นของเธอให้เป็นจริง อีกทั้งยังเป็นเหมือนประตูที่ทำให้ Pixie ได้รับโอกาสแปลกใหม่เข้ามาในชีวิต ตั้งแต่การร่วมแสดงใน Chitty Chitty Bang Bang ที่ West End ไปจนถึงการได้อัดเสียงร่วมกับ Roger Waters แห่ง Pink Floyd
เมื่อตอนอายุ 14 ขณะที่ Pixie กำลังพยายามหาหนทางเข้าร่วมแสดงใน The Stage ก็บังเอิญไปเห็นโฆษณาชิ้นหนึ่งที่ทำให้ภาพทุกอย่างชัดเจนขึ้น บางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากที่เมื่อได้เห็นคำโฆษณาเหล่านี้ แล้วก็คิดว่าจะมีความเป็นไปได้อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้น บางครั้งก็ออกจะน่าสงสัยมากด้วยซ้ำเวลาที่ได้เห็นคำโปรยว่ากำลังมองหาเด็กหนุ่มสาว แต่ไม่นานหลังจากนั้น โฆษณาตัวที่ว่าก็นำพา Pixie ให้เดินทางมาที่นิวยอร์ก เพื่อเริ่มต้นการเขียนเพลง และบันทึกเสียงเดโม ตั้งแต่นั้นทุกอย่างก็เหมือนกับก้อนหิมะที่กลิ้งไปเรื่อยๆ …“ฉันจำได้ว่าตัวเองอยู่ที่โรงเรียนแล้วก็ได้รับข้อความบอกว่า LA Reid จะบินมาเพื่อพบฉันในวันถัดไปที่โรงแรม ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร และฉันก็ไม่เคยได้นัดพบใครแบบนี้ด้วย”.. และเมื่อได้รู้ว่า LA Reid เป็นนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่ เธอยกเลิกนัดกับหมอฟัน โดดเรียนในวันต่อมา ร้องเพลงของ Mariah Carey ให้ LA ฟัง กลับเข้าเรียนในวันต่อมา โดยไม่ปริปากบอกใครทั้งสิ้น
เมื่อเวลาผ่านไป เดโมต่างๆก็เริ่มถูกนำไปโพสต์ไว้ใน MySpace ของ Pixie คำบอกเล่าปากต่อปาก ก็เกิดขึ้น ท้ายที่สุดมันทำให้ Pixie ได้เซ็นสัญญากับค่าย Mercury ที่อังกฤษ และ Interscope ที่อเมริกา ผลที่ออกมาก็คือ ตอนนี้มีเพลงที่ไปสร้างกระแสอยู่ในอาณาจักรของวัยรุ่น ‘Turn It Up’ ซิงเกิ้ลล่าสุด บอกเล่าเรื่องราวความรักคู่รักหนุ่มสาวที่เลิกรากันไปและเหลือไว้เพียงความเป็นเพื่อน ขณะที่ท้ายที่สุดของความสัมพันธ์ได้ก้าวไปในจุดที่เมื่อความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของถูกโยนทิ้งหน้าต่างออกไปกองอยู่บนถนนเบื้องล่าง เหมือนอย่างที่เราได้ค้นพบมันใน เพลงบัลลาดอันยอดเยี่ยมของ Alicia Keys, ‘Cry Me Out’ นั่นเอง …‘ถึงเวลาที่จะกลับมามีสติได้แล้ว คุณเอาเพลงนี้ไปเปิดกับ ‘Cry Me A River’ ของ Justin Timberlake ได้เลย และอย่าลืมที่จะบอกใครบางคนด้วยว่า พวกเขาต้องยอมรับการกล่าวโทษนั้นให้ได้ และบอกว่า ‘การที่จะต้องเสียน้ำตา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย’ ‘Cry Me Out’ ยังมีประโยคเด็ดอย่าง ‘I got your emails, you just don’t get females’
ไม่ต่างอะไรจากแฟนดนตรีสมัยใหม่ทั้งหลาย Pixie สร้างสรรค์งานโดยเอารสนิยมการฟังเพลงของตัวเองมาใช้ด้วย เธอชื่นชมสไตล์ของ Gwen Stefani และ Rihanna เธอยังชื่นชอบผลงานการแต่งเพลงของ Alicia Keys เอามากๆ พอพูดถึงเพลงร็อค ก็ต้องหนีไม่พ้น The Strokes และ The Kooks ถ้าเป็นเรื่องการแสดงบนเวที เธอหลงใหลในเสียงร้องของ Mariah และชอบการเคลื่อนไหวบวกลีลาการโชว์แบบ Britney Spears เป็นที่สุด พอลงจากเวที เธอก็หลงใหลในความเป็นตัวเองของ Lauryn Hill และความเป็นคนคุณภาพของ Christina Aguilera ไหนยังจะรุ่นใหญ่ลายครามน้ำเสียงทรงพลังไปจนถึงขาแด๊นซ์ป๊อปอย่าง Whitney Houston ไปจนถึง Evelyn Champagne King ที่เป็นสุดโปรด ส่วนตัวแทนฝ่ายชาย ก็ต้องยกให้ Stevie Wonder
งานของ Pixie คือดนตรีที่มีเนื้อหาจับต้องได้จริงและเข้าถึงจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับทำให้หัวหมุนคิดวนเวียนอยู่แต่ว่ามันช่างสลักสำคัญเหลือเกินจนเกินไป โดยเนื้อแท้ลึกลงไปแล้ว Pixie ก็เป็นแค่ Pixie เท่านั้น …“มันจะต้องมีทั้งความหนักแน่นในอารมณ์ และความจริงแท้ในสิ่งที่ฉันต้องร้องออกไป ไม่ว่าฉันจะเป็นคนแต่งเนื้อและทำนองนั่นหรือไม่ ฉันจะต้องรู้สึกกับมันจริงๆ ฉันจึงจะร้องมันออกมาได้”…
ทันทีที่เอมวีซิงเกิ้ล Boys & Girls ปล่อยผ่าน youtube ด้วยกระแสความดังและมาแรงแบบชนิดที่เปิดตัวที่อันดับ 1 UK. มาแล้วกับซิงเกิ้ลแรกตามติดด้วยซิงเกิ้ลที่ 2 แม่สาว Pixie ก็ถูกจับไปเปรียบเทียบกับลุคของ C herly C ole เรียบร้อย จากซิงเกิ้ลแรกที่ทำให้หลายคนเคยชินกับน้ำเสียงแบบโซลป็อปของเธอก็เปลี่ยนมาเป็น Lady Gaga ผสม Pink เอาเป็นว่าคนมันจะแรงได้ที่ ก็ต้องถูกจับไปเปรียบเทียบเป็นธรรมดา ไม่งั้นก็ไม่มีไรให้พูดถึงน่ะสิ ข้อนี้ LaDY Gaga เธอรู้ดี หรือจะเถียงว่าไม่จริง
Special Thxs. ข้อมูล Universal
Comments