"ฉันอยากจะให้คนมาตัดสินเพลงของฉันว่ามันมีค่าเท่าไหร่หรือไม่ แต่ฉันก็พร้อมจะลองอะไรใหม่ๆ"
By .....VJ
ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงยังคงอยู่ในวงการดนตรีมาจนถึงวันนี้ ในวันที่ศิลปินรุ่นเดียวกันล้มหายตายจากไปหมดสิ้นทำไมเธอจึงเป็นศิลปินที่มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ผ่านมรสุมมามากมาย ตกต่ำ ล้มเหลว ถูกประณามหยามเหยียด แต่ Madonna ก็กลับมาได้เสมอ และในวันนี้ ในวัย 50 ปี เธอก็ยังแข็งแกร่งและเปรี้ยวเข็ดฟันเหมือนในวันแรกที่โลกได้รู้จักเธอ Madonna
ตลอด 25 ปีที่ Madonna สร้างปรากกฎการณ์ทางดนตรีและแฟชั่น ผลงานและตัวตนของ Madonna กลายเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะทำอะไรแปลกใหม่ และมันก็เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับวงการเพลง จากวันที่เธอปรากฏตัวครั้งแรกพร้อมการเปิดตัวของเอ็มทีวี มาถึงวันที่เทคโนโลยีพร้อมเสิร์ฟครบวงจรทางอินเตอร์เน็ต ความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจดนตรีทำให้ Madonna ตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งด้วยการไม่ต่อสัญญากับวอร์เนอร์บราเธอร์สค่ายเพลงคู่บุญของเธอ ในขณะที่โลกดนตรีกำลังถูกสั่นคลอนด้วยเทคโนโลยี และยอดขายซีดีอาจไม่สามารถพิสูจน์อะไรต่อไปได้อีก ศิลปินทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายที่ว่า พวกเขายังขายได้อีกหรือไม่ พวกเขายอมให้แฟนเพลงตัดสินว่าพวกเขามีราคาเท่าไหร่อย่างที่ Radiohead ตัดสินใจปล่อยอัลบั้มใหม่ของพวกเขาให้ดาวน์โหลดฟรี โดยบอกแค่ แล้วแต่ว่าแฟนเพลงจะจ่ายเงินเท่าไหร่ แม้เพียง 1 เพนนี พวกเขาก็สามารถจ่ายเป็นค่าดาวน์โหลดได้ Madonna พูดถึงเรื่องนี้ว่า ....
…“ฉันว่ามันเป็นความคิดที่ดีนะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันจะเวิร์คไหม มันเหมือนกับเป็นโลกใหม่ที่เราต้องลองผิดลองถูก มันอาจจะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค แต่มันเป็นการปฏิรูป และเราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในความมืดก่อนที่จะสู่รุ่งอรุณ ก่อนที่เราจะรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป ฉันไม่รู้ว่าฉันอยากจะให้คนมาตัดสินเพลงของฉันว่ามันมีค่าเท่าไหร่หรือไม่ แต่ฉันก็พร้อมจะลองอะไรใหม่ๆ”…
สำหรับศิลปินหลายคน การออกจากค่ายเพลงนับเป็นการเดินสู่เส้นทางที่มีความเสี่ยงสูงและน่ากลัว แต่กับผู้หญิงที่ต่อต้านระบบมาตลอดอย่าง Madonna กลับมองว่ามันเป็นความตื่นเต้น เธอกล่าวว่า...
…“ มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ฉันจะไม่พูดว่ามันเป็นอิสระ เพียงแต่ว่าสัญญาฉันหมดลง และธุรกิจดนตรีกำลังเปลี่ยนไป ดังนั้นวิธีการทำงานเพลงของฉันก็เปลี่ยนไป วิธีที่ฉันเผยแพร่แก่ผู้ฟังและการตลาดของมันก็เปลี่ยนไปด้วย ฉันตื่นเต้นกับข้อสัญญาใหม่เพราะมันเป็นพาร์ทเนอร์ชิพมากกว่า หลังจากทำงานมา 25 ปี ฉันถืออว่าฉันสมควรจะได้เป็นหุ้นส่วนเสียที” ...
หุ้นส่วนใหม่ที่ว่าก็คือโปรโมเตอร์ Live Nation ซึ่งเธอเซ็นสัญญาราคา 120 ล้านเหรียญเป็นเวลา 10 ปี และนับได้ว่า Madonna เป็นศิลปินคนแรกของ Live Nation ที่ส่งผลให้มีศิลปินอย่าง Jay-Z และ U2 มาเซ็นสัญญาด้วยเมื่อไม่นานมานี้ สัญญาที่ว่านี้ยังรวมถึงการจัดจำหน่ายเพลงของ Madonna ตลอดจนทัวร์คอนเสิร์ต, ของที่ระลึก, แฟนคลับต่างๆ, ดีวีดี, รายการทีวีและภาพยนตร์ของเธอ ทั้งยังรวมถึงข้อตกลงของผู้สนับสนุนต่างๆ ด้วย
…“ ฉันร่วมงานกับ Live Nation ในทัวร์ที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาจะมีส่วนร่วมกับทัวร์ของฉัน แต่หลังจากอัลบั้มชุดนี้ พวกเขาจะดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอัลบั้มต่อไป” ...
Hard Candy สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 11 นี้ Madonna รวมพลนักแต่งเพลงระดับรับประกันว่าดังแน่(ในอเมริกา)อย่าง The Neptunes และ Timbaland ทั้งยังได้ Justin Timberlake มาแจมอีกถึงห้าเพลง เรียกว่างานนี้เป็นอะไรที่เธอไม่เคยทำมาก่อนกับการร่วมงานกับทีมโปรดิวเซอร์มีชื่อระดับพระกาฬแทบทุกคน เมื่อเทียบกับการทำงานที่ผ่านมากับโปรดิวเซอร์เพลงเต้นรำที่ไม่โดดเด่นมากนักอย่าง Mirwais, Shep Pettibone และ Stuart Price ซึ่งก็เป็นเพราะต้องการกลับมาชนะใจฝั่งอเมริกาอีกครั้ง หลังจากอัลบั้มเพลงดิสโก้เมื่อปี 2005 อย่าง Confessions On A Dancefloor ไม่โดนใจคนมะกันนักนั่นเอง
ถึงแม้ซาวนด์ในงานชุดนี้จะใหม่หูสำหรับแฟนเพลงของ Madonna หากแต่ลูกผสมของสัดส่วนและกลิ่นอายทางดนตรีจากโปรดิวเซอร์มือทองทั้งหลาย ก็โชยกลิ่นงานเพลงของศิลปินหญิงรุ่นหลังที่พวกเขาเคยฝากฝีมือไว้ด้วย ทั้ง Nelly Furtado, และ Gwen Stefani ก็คงไม่มีวันนี้หากไม่ได้ Madonna เป็นแรงบันดาลใจ น่าแปลกที่เหล่าโปรดิวเซอร์ชุดนี้ผลิตงานให้กับ Britney และ Nelly โดยปรับเอาสไตล์ของ Madonna มาใช้ โดยทำให้มันร่วมสมัยขึ้น ความท้าทายจึงมากขึ้น เมื่อพวกเขาต้องทำงานกับศิลปินต้นตำรับอย่างเธอ Pharrell Williams พูดถึงการทำงานกับเ Madonna ว่า...
…“ เธอแรงมากๆ ผมไม่ได้หมายถึงในเรื่องเพลงนะ หมายถึงตัวเธอที่ร้อนแรงมาก แบบว่าเหงื่ออาบกันเลย ร้อนแบบอะไรๆ ในห้องอัดมันของขึ้นกันหมด แบบเสียกระบวนกัน ประมาณว่าถ้าเจ๊ไม่ลดความร้อนลงบ้าง ก็ทำงานกันไม่ได้แล้วโว้ย อะไรแบบนั้น เธอเป็นคนฉลาดมาก เธอเดินหมากเป็น ผมรู้สึกได้เลย อย่างเธอรู้ว่าคอเธอไม่ไหวแล้ว ทุกคนทำงานกันจนล้าแล้วก็ตาม แบบอัดไปได้เพลงเดียวแล้วจะกลับบ้านกันแล้ว เธอบอกว่าถ้าเราชอบดนตรี แล้วจะเลิกกันตอนนี้ ฉันก็มาที่นี่แล้ว ถ้าจะกลับกันฉันจะ....เราคงไม่ทำแบบนั้นใช่ไหม”…
เรื่องความร้อนแรงของ Madonna เห็นท่าว่าจะจริงเพราะ Timbaland ก็พูดถึงการทำงานกับเธอถึง 10 เพลงในอัลบั้มชุดนี้ว่า …“เธอสุดยอดแล้ว อัลบั้มนี้ร้อนมากๆ เทียบได้กับจัสตินเลย มีเพลงนึงในอัลบั้มที่เราแบบย้อนกลับไปยุค you must be my lucky starrrr ผมทำบีทคล้ายๆ แบบนั้นเลย ส่วนฟาร์เรลก็ทำ Candy Shop ซึ่งทำให้เธอลอยลำฉิวแน่ๆ “… นอกจากนี้เขายังบอกด้วยว่า อัลบั้มชุดนี้เป็นเหมือนเพลง Holiday ในแบบอาร์แอนด์บี
Madonna ทุ่มเทและบ้างานขนาดไหน เชื่อว่า Justin Timberlake คงบอกได้ เขาพูดถึงการทำงานกับเธอในการกล่าวนำก่อนการขึ้นรับรางวัล Rock ‘N’ Roll Hall of Fame โดยพูดถึง Britney ว่าเป็น…” Madonna Wannabe”.. ทั้งยังบอกด้วยว่า Madonna ทำให้เขาอ่อนล้าจนเธอต้องฉีดวิตามิน B12 เข้าที่บั้นท้ายของเขา นายหนุ่มทะเล้นคนนี้พูดว่า …“เธอฉีดยาที่ก้นผม เธอมองผมแล้วพูดว่า “กันชนสวยนะ” มันเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดวันนึงในชีวิตผมเลย”... แต่เรื่องการเห็นบั้นท้ายของจัสตินอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับ Madonna เท่าไหร่ เธอบอกว่า …“ก่อนอื่นนะ ฉันเห็นบั้นท้ายคนมาเยอะ สาเหตุที่ฉันฉีดวิตามินบี 12 ให้เขา ก็เพราะเรามีเวลาในสตูดิโอพอสมควร และฉันไม่อยากฟังข้ออ้างห่วยๆ เวลาที่เขาจะไม่มาทำงาน มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับก้นเขาหรอก ฉันจะบอกให้ ฉันไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องฉีดยามาอ้างเพื่อจะดูก้นเขาหรอกน่า”...
Britney อาจเป็น Madonna Wannabe อย่างที่จัสตินพูดเป็นนัย หรือบางทีเพลง She’s Not Me อาจจะบอกอะไรเกี่ยวกับบรรดาศิลปินที่อยากเป็นมาดอนน่ากันแน่ …“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะ ฉันมีความสุขมากกว่าหากสิ่งที่ฉันทำจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงคนอื่น หรือช่วยสร้างความรู้สึกที่ว่า เราต้องกำหนดโชคชะตาตนเองให้กับพวกเขา ฉันไม่คิดว่าจะมีใครพยายามจะเป็นอย่างฉัน สำหรับฉัน เพลงนี้ (She’s Not Me) เป็นเพลงคู่รักที่ทิ้งกันไปมากกว่า เป็นเหมือนเพลง I Will Survive ที่กราดเกรี้ยวกว่า”...
4 Minutes เป็นเพลงแรกที่ตัดโปรโมทพร้อมการร่วมงานกับหัวหอกสำคัญอย่าง Timbaland และ Justin Timberlake ซึ่ง Madonna พูดถึงการทำงานในเพลงนี้กับจัสตินว่า …“ฉันไม่เคยทำงานกับนักแต่งเพลงที่ฉันสื่อถึงกันได้ทันที และเล่นในส่วนของเนื้อเพลงกับจังหวะและคำ เขาสนใจในเรื่องของจังหวะกับคำ และรวมถึงความหมายของคำด้วย”… เธอพูดถึงเพลงนี้ว่า ...“มันเป็นคำพูดตลกๆ ที่ขัดแย้งกัน เหมือนกับเวลาเราพูดว่า ‘เราไม่มีเวลาแล้ว ทุกคน ตื่นเถิด’ แต่ถ้าเราจะต้องกู้โลก เราขอทำอย่างสนุกๆ ได้ไหม”…
Madonna พูดถึงที่มาของอัลบั้ม Hard Candy ว่า …“เราไม่ควรคิดว่ามีคนอื่นที่จะมาแก้ปัญหาให้เรา ที่จริงแล้ว ฉันเฝ้าดูความเป็นไปของโลก และแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัลบั้มชุดนี้เป็นเรื่องของความประหลาดใจ ความไว้ใจ และความผิดหวังในชีวิต ที่ต้องพบว่าคนที่ฉันคิดว่าเป็นเพื่อน กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ใช่ไอเดียทั้งหมดหรอกนะ ไม่ได้มีอะไรตายตัวเฉพาะเจาะลงไปชัดเจนอย่างใดอย่างหนึ่งหรอก”...
นอกจากการทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ urban ชั้นเซียนแล้ว Madonna ยังร่วมงานกับ Kanye West ในเพลง Beat Goes On ซึ่งเธอพูดถึงการทำงานกับเขาว่า …“ เพลงนี้มันมีลักษณะของความเร่งด่วน (ในตัวเพลง) Kanye มีเวลาทำงานเพียงสี่ชม. และฉันต้องทำเพลงนี้ให้เสร็จก่อนที่เขาจะขึ้นเครื่อง รู้ไหม ทุกวันนี้ฉันใช้ชีวิตในโหมดแบบ “ใช้เวลาในวันนี้ให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้าย” ทุกอย่างที่ฉันทำมันเลยเร่งด่วนไปหมด”…
เนื้อเพลงท่อนหนึ่งในอัลบั้มชุดนี้พูดว่า Don't stop me now, don't need to catch my breath, I can go on and on and on สะท้อนตัวตนของ Madonna ว่าเป็นเพราะการไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ และแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา Madonna ในวันนี้จึงยังคงยืนหยัดอยู่บนสังเวียนดนตรี เป็นที่ยอมรับในวงการภาพยนตร์หลังจากคว้าลูกโลกทองคำมาครอง และได้รับเสียงชื่นชมกับผลงานการกำกับหนังเรื่องแรก Filth And Wisdom อย่างไม่ต้องพึ่งบารมีสามี แต่เธอก็ยังมีสิ่งที่อยากทำอีกมาก เธอบอกว่า...
…“ ฉันคิดว่าฉันไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้เพียงเพื่อร้องเพลง ฉันจึงคิดว่ามีอะไรอีกหลายอย่างที่ฉันอยากจะทำให้สำเร็จ ฉันอยากจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ ฉันอยากเรียนรู้สิ่งที่ฉันรู้ให้มากขึ้น ฉันอยากเป็นพ่อแม่ที่ดี และฉันยังมีลูกที่ต้องเลี้ยงดู มันเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่ฉันยังต้องทำต่อไป ฉันอยากกำกับและเขียนบทหนังอีก ฉันทำไปเพียงเรื่องเดียว สำหรับฉันมันเป็นเพียงการเริ่มต้นในงานนี้เท่านั้น และฉันอยากทำอัลบั้มมากกว่านี้ เพราะฉันรักดนตรี”...
HARD CANDY วางแผงแล้ววันนี้
Comments